เมนคูน
ประวัติความเป็นมาแมวเมนคูน
สำหรับความเป็นและต้นกำเนิดนั้นไม่แน่ชัดว่าเป็นมาอย่างไรตั้งแต่แรกเริ่มเพียงแต่มีการเล่าต่อๆกันมาและเป็นเพียงแค่การสันิฐานจากข้อมูลต่างๆเท่านั้น มีในบางข้อมูลว่า สมเด็จพระราชินีของฝรั่งเศสในปี 1793 ก่อนนั้นกำลังที่จะหนีเรื่องอะไรบางอย่างแล้วได้นำสิ่งของมีค่าต่างๆ นำไปด้วย รวมทั้งสัตว์เลี้ยงของพระองค์ พอมาถึงชายฝั่นสัตว์เลี้ยงที่ได้นำมาได้เกิดผสมพันธุ์กลายเป็นเมนคูน
ยังมีอีกว่ามีการเดินเรือของกัปตันชาร์ลลส์คูนชาวอังกฤษเก็บแมวที่มีขนยาว แล้วมีการจอดเทียบท่าเรือในนิวอิงแลนด์พอร์ต จากนั้นแมวตัวนั้นได้ทำการผสมพันธุ์กับแมวป่าที่นั้น ก็เลยออกลูกมาเป็นตัวเมนคูน
และมีอีกทฤษฎีหนึ่งคือมีการพสมพันธุ์ที่เป็นแมวพื้นบ้านขนสั้นจับคู่กับแมวที่มาจากต่างประเทศที่มีลักษณะขนใหญ่แล้วยาว แล้วจึงมาเป็นเมนคูน
แต่ที่เป็นการยอมรับก็คือเมนคูนเป็นสัตว์พื้นเมืองของชนพื้นเมืองในรัฐเมน และเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันมานานอย่างเป็นทางการ และมีการบอกว่าการผสมพันธุ์เกิดจากแมวบ้านกึ่งแมวป่าผสมพันธุ์กับแรคคูน แมวชนิดนี้จึงมีหางเป็นพวงคล้ายกันแรคคูนนั้นเอง และมีสีและลวดลายสีน้ำตาลที่มีลักษระเหมือนแรคคูน
ก่อนที่เมนคูนจะได้รับความนิยมนั้นมีการบันทึกไว้ในวรรณกรรมปี 1861 ได้มีการบันทึกแมวตัวสีดำและสีขาว ของกัปตัน Jenks ได้เขียนว่าแรคคูนได้นำเข้าประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศในการแสดงครั้งนี้จึงทำให้เป็นที่นิยมในบอสตันและนิวยอร์ก โดยแมวเพศเมียสีน้ำตาลที่มีชื่อว่า Cosey โดยนางเฟร็ดบราวน์เป็นคนส่งเข้าประกวด โดยได้รับปลอกคอสีน้ำเงินและเหรียญ
ในช่วงปี 1900 ได้เกิดวิกฤตเกี่ยวกับเมนคูน เนื่องความนิยมเลี้ยงแมวที่ตัวใหญ่และมีขนยาวได้ลดลง แต่ว่ามีพันธุ์ที่มีขนาดตัวเล็กกว่า นั้นคือแมวเอร์เซียที่ได้นำมาจากตะวันออกลาง และการแสดงของเมนคูนก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อปี 1911 ความนิยมจึงลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ต่อมานั้นในปี 1950 ได้มีการพยายามพื้นฟูความนิยมของเมนคูนเกิดขึ้นโดยอัลสมิธ โดยเขาพยายามในการจัดสายพันธุ์เมนคูนมาแสดงนิทรรศการและได้เขียนหลังสือเกี่ยวกับมาตรฐานเมนคูน
และในศตวรรณต่อมาเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นด้วยลักษณะที่เป็นแมวบ้านที่ตัวใหญ่ สง่างาม และเป็นนักล่าที่ดีมีความบึกบึนและความอดทนที่ดีโดยเฉพาะการอาศัยอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น นิยมเลี้ยงในประเทศอังกฤษมากขึ้นและมากที่สุด ถือได้ว่าเป็นแมวที่มีสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปเอเมริกาเหนือ อายุในการดำรงชีวิต 12 – 15 ปี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น